สารสนเทศศาสตร์เบื้องต้น
ความหมายสารสนเทศ
สารสนเทศ มาจากคำสองคำคือ
สาร และ สารสนเทศ ซึ่งสารหมายถึง แก่นเนื้อแท้ที่แข็ง แก่นสารส่วนสำคัญ และสนเทศหมายถึง
คำสั่ง ข่าวสาร เมื่อรวมกันเป็นคำว่า สารสนเทศ จะมีความหมายว่า แก่นหรือเนื้อหาที่เป็นข้อมูล
ข้อเท็จจริงข่าวสาร ข้อความหรือเอกสารที่บันทึกข้อความซึ่งแจ้งให้ทราบ
สารสนเทศหมายถึง
ข้อมูล
ข่าวสารที่ถูกรวบรวมไว้และผ่านการประมวลผลข้อมูลเพื่อนำมาเรียบเรียงไว้เพื่อนำมาตีพิมพ์และเผยแพร่ในรูปแบบของวัสดุตีพิมพ์และไม่ตีพิมพ์
สาเหตุที่ทำให้เกิดสารสนเทศ
1. เมื่อมีวิทยาการความรู้
หรือสิ่งประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมกันนั้น ก็จะเกิด สารสนเทศมาพร้อมๆ
กันด้วย จากนั้นก็จะมีการเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เกี่ยวกับ วิทยาการความรู้
หรือสิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ ชนิดนั้นๆไปยัง แหล่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตสารสนเทศ เนื่องจากมี ความสะดวกในการป้อน ข้อมูล
การปรับปรุงแก้ไข การทำซ้ำ การเพิ่มเติม ฯลฯ ทำให้มีความ
สะดวกและง่ายต่อการผลิตสารสนเทศ
3. เทคโนโลยีการพิมพ์ที่มีความสามารถในการผลิตสารสนเทศสูงขึ้น
สามารถผลิตสารสนเทศได้ครั้งละจำนวน มากๆ ในเวลาสั้นๆ มีสีสันเหมือนจริง
ทำให้มีปริมาณสารสนเทศใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
4. เทคโนโลยีสื่อสารยุคใหม่มีความเร็วในการสื่อสารสูงขึ้น
สามารถเผยแพร่สารสนเทศ จากแหล่งหนึ่ง ไปยัง สถานที่ต่างๆ
ทั่วโลกในเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
อีกทั้งสามารถส่งผ่านข้อมูลได้อย่างหลากหลาย รูปแบบ พร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน
5. ผู้ใช้มีความจำเป็นต้องใช้สารสนเทศเพื่อการศึกษา
เพื่อการค้นคว้าวิจัย เพื่อการ พัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อการ ตัดสินใจ
เพื่อการแก้ไขปัญหา เพื่อการปฏิบัติงาน หรือปรับปรุง ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน,
การบริหารงาน ฯลฯ
6. ผู้ใช้มีความต้องการใช้สารสนเทศ
เพื่อตอบสนองความสนใจ ต้องการทราบแหล่งที่อยู่ของสารสนเทศ ต้องการเข้าถึงสารสนเทศ
ต้องการสารสนเทศที่มาจากต่างประเทศ ต้องการสารสนเทศอย่างหลากหลาย หรือต้องการ สารสนเทศอย่างรวดเร็ว
เป็นต้น
ประวัติและพัฒนาการของสารสนเทศศาสตร์
สารสนเทศศาสตร์เป็น
สาขาวิชาที่มีลักษณะเป็นสหวิทยาการ
ในระยะแรกมีการสอนสารสนเทศศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งในโรงเรียนบรรณารักษ์ศาสตร์
และมีการพัฒนาทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบรรณารักษ์ศาสตร์และจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมหลายๆด้าน
ทั้งจากที่มีสารสนเทศและความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นมากมาย
ทำให้สารสนเทศศาสตร์มีการพัฒนาขึ้นในด้านต่างๆมากมาย
พัฒนาการของสารสนเทศแบ่งออกเป็น 2 ระยะดังนี้
1.พัฒนาการสารสนเทศศาสตร์ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
สารสนเทศศาสตร์มีการพัฒนาในด้านความคิดและแนวทางการดำเนินการตั้งแต่
ค.ศ.1895
เป็นแนวความคิดเรื่องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการค้นสารสนเทศจากการที่มีการผลิตสารสนเทศจำนวนมากในหลายประเทศ
ทำให้มีผู้คิดค้นเรื่องการควบคุมบรรณานุกรม การดำเนินงานเกี่ยวกับเอกสาร
ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นสารสนเทศศาสตร์
2.พัฒนาการสารสนเทศศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
พัฒนาการด้านงานวิชาชีพสารสนเทศศาสตร์
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
มีการวิจัยและศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อนำไปใช้ในการฟื้นฟูประเทศและสังคม
การผลิตสารสนเทศก้าวหน้าไปมาก และเกิดสารสนเทศขึ้นมากมายหลายรูปแบบที่เรียกกันว่า
สารสนเทศท่วมท้น
หลังเกิดสงครามทำให้มีความต้องการใช้สารสนเทศเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาด้านต่างๆมากขึ้น
ก่อให้เกิดปัญหาในการจัดเก็บรวบรวมสารสนเทศที่มีจำนวนมากรวมทั้งการดำเนินงานทางเทคนิคและให้บริการสารสนเทศ
ความพยามแก้ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องใช้สารสนเทศในการดำเนินการโดยได้แนวคิดเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์
แมมเมกซ์ เพื่อการจัดเก็บและค้นสารสนเทศ
ซึ่งต่อมาเป็นการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการคัดเลือก รวบรวม
จัดเก็บวิเคราะห์ ประมวล
และพัฒนาการค้นคืนสารสนเทศเกิดระบบการค้นคืนสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในช่วงก่อนที่จะนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการสืบค้นสารสนเทศ
มีผู้คิดค้นและนำวิธีการหลากหลายรูปแบบในการจัดทำเครื่องมือในการค้น พีก-อะบู(Peek-a-Boo)
หรือการเจาะบัตรบันทึกหัวเรื่อง บอกตำแหน่งเอกสารได้หลายเล่มในหัวเรื่องเดียวกันและบัตรเจาะริม
เป็นบัตรที่ริมบัตรแต่ละใบเจาะรูไว้เพื่อบอกรหัสแทนเรื่องของเอกสารแต่ละเล่ม
การใช้คอมพิวเตอร์จัดทำเครื่องมือแบบควิก
และ ควอก เริ่มโดย ฮันส์ ปีเตอร์ ลุ่น
เป็นการนำคำสำคัญทุกคำจากชื่อเรื่องของบทความหรือเอกสารมาหมุนเวียนเป็นศัพท์ดรรชนีและได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงกลาง ค.ศ. 1960 อัลเลน เค้นท์
ได้เสนอโปรแกรมวิชาเพื่อเปิดสอนในมหาวิทยาลัย
และได้มีการขยายการเปิดสอนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในหลายๆที่
ความสำคัญของสารสนเทศ
สารสนเทศเป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพและมีคุณค่าการที่มนุษย์จะดำรงชีวิตที่ดีได้ในสังคมโลกที่สภาวการณ์ต่างๆปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วมนุษย์ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนตนเองให้ทันต่อเหตุการณ์และเหมาะสมกับสภาพ
สารสนเทศมีความสำคัญดังนี้
1.ช่วยลดความเสี่ยงในการสินใจหรือชี้แนวทางในการแก้ปัญหา
2.ช่วยสนับสนุนการจัดการหรือการดำเนินงานขององค์การให้มีประสิทธิภาพ
3.ใช้ทดแทนทรัพยากรทางกายภาพเช่นกรณีการเรียนทางไกล
4.ใช้ในการกำกับติดตามการปฏิบัติงานและการตัดสินใจเพื่อดูความก้าวหน้าของงาน
ทรัพยากรสารสนเทศ
ทรัพยากรสารสนเทศ
หมายถึงสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลความรู้ในเรื่องต่างๆ ดังนั้นทรัพยากรสารสนเทศจึงเปรียบเสมือนตัวกลางที่ใช้ในการเผยแพร่กระจายความรู้ของบุคคลหนึ่งไปยังคนอื่นๆที่ต้องการรับความรู้นั้น
สามารรับความรู้ที่บันทึกอยู่ในทรัพยากรสารสนเทศได้หลายลักษณะทั้งเป็นข้อความ ภาพ และเสียง
ทรัพยากรสารสนเทศแบ่งได้3ประเภทดังนี้
1. วัสดุตีพิมพ์
วัสดุตีพิมพ์ หมายถึงวัสดุที่บันทึกสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและสัญลักษณ์อื่นๆ โดยผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ กฤตภาค เป็นต้น วัสดุตีพิมพ์จัดแยกประเภทตามลักษณะรูปเล่มและวัตถุประสงค์ในการจัดทำได้ดังนี้
วัสดุตีพิมพ์ หมายถึงวัสดุที่บันทึกสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและสัญลักษณ์อื่นๆ โดยผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ กฤตภาค เป็นต้น วัสดุตีพิมพ์จัดแยกประเภทตามลักษณะรูปเล่มและวัตถุประสงค์ในการจัดทำได้ดังนี้
2. วัสดุไม่ตีพิมพ์
วัสดุไม่ตีพิมพ์ ทรัพยากรสารสนเทศที่บันทึกไว้ในสื่อที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เป็นทรัพยากรที่สามารถสื่อความหมายของข้อมูลที่บันทึกไว้โดยอาศัยภาพและเสียง สัญลักษณ์ ได้แก่
วัสดุไม่ตีพิมพ์ ทรัพยากรสารสนเทศที่บันทึกไว้ในสื่อที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เป็นทรัพยากรที่สามารถสื่อความหมายของข้อมูลที่บันทึกไว้โดยอาศัยภาพและเสียง สัญลักษณ์ ได้แก่
1. ต้นฉบับตัวเขียน
ต้นฉบับตัวเขียน(manuscript)คือทรัพยากรสารสนเทศที่จัดทำขึ้น โดยใช้ลายมือเขียน ได้แก่ หนังสือที่จัดทำในสมัยโบราณก่อนที่จะมีการพิมพ์ โดยการใช้จาร หรือสลักลงบนวัสดุต่าง ๆ เช่น สมุดข่อย ใบลาน แผ่นปาปิรัส (papyrus) แผ่นดินเหนียว แผ่นหนังสัตว์ ศิลาจารึก เป็นต้น
ต้นฉบับตัวเขียน(manuscript)คือทรัพยากรสารสนเทศที่จัดทำขึ้น โดยใช้ลายมือเขียน ได้แก่ หนังสือที่จัดทำในสมัยโบราณก่อนที่จะมีการพิมพ์ โดยการใช้จาร หรือสลักลงบนวัสดุต่าง ๆ เช่น สมุดข่อย ใบลาน แผ่นปาปิรัส (papyrus) แผ่นดินเหนียว แผ่นหนังสัตว์ ศิลาจารึก เป็นต้น
2. โสตวัสดุ
โสตวัสดุ (audio materials) คือ วัสดุสารสนเทศที่ใช้เสียงเป็นสื่อในการถ่ายทอดสารสนเทศเช่น แผ่นเสียง แถบบันทึกเสียงหรือเทปบันทึกเสียง แผ่นซีดี เป็นต้น
โสตวัสดุ (audio materials) คือ วัสดุสารสนเทศที่ใช้เสียงเป็นสื่อในการถ่ายทอดสารสนเทศเช่น แผ่นเสียง แถบบันทึกเสียงหรือเทปบันทึกเสียง แผ่นซีดี เป็นต้น
3.ทรัพยากรอิเลกทรอนิกส์
ทรัพยากรที่ต้องใช้ระบบแสงเลเซอร์
หรือคอมพิวเตอร์ช่วยในการบันทึก สารสนเทศ รวมทั้งช่วยในการฟังและการอ่านด้วย เป็นทรัพยากรที่มีการบันทึก
สารสนเทศในรูปแบบดิจิตอล ซึ่งสามารถบันทึกได้ทั้งที่เป็น ตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพ โดยเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ
เช่น หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
(E-book)
ฐานข้อมูลออนไลน์ เป็นต้น
การเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศ
เราสามารถเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศได้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์
โดยมีหลักในการพิจารณาดังนี้
1. มีความสอดคล้องกับเนื้อหาสารสนเทศที่ต้องการ
เช่น ถ้าต้องการสารสนเทศเฉพาะวิชา
ควรเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศประเภทหนังสืออ้างอิง ตำราและวารสารวิชาการ มากกว่าประเภทหนังสือทั่วไปและนิตยสาร
หากต้องการสารสนเทศที่แสดงความสัมพันธ์ของเรื่องราวอย่างชัดเจน ควรเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นภาพเคลื่อนไหวเช่น
วีดิทัศน์ วีซีดีหรือ ดีวีดี เป็นต้น หากต้องการฟังการบรรยาย เพลง ดนตรี
ควรเลือกใช้ทรัพยากรสารสนเทศที่มีบันทึกเสียง เช่น เทป ซีดี หรือ วีซีดี เป็นต้น
2. การพิจารณาความน่าเชื่อถือในตัวทรัพยากร ผู้เรียนจะต้องพิจารณาจากชื่อเสียง ประสบการณ์หรือคุณวุฒิของผู้แต่ง สำนักพิมพ์หรือผู้ผลิตทรัพยากรสารสนเทศด้วย เช่น หนังสืออ้างอิงจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหนังสือทั่วไป เพราะเขียนและรวบรวมโดยผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชา วิชาชีพบรรณารักษ์
2. การพิจารณาความน่าเชื่อถือในตัวทรัพยากร ผู้เรียนจะต้องพิจารณาจากชื่อเสียง ประสบการณ์หรือคุณวุฒิของผู้แต่ง สำนักพิมพ์หรือผู้ผลิตทรัพยากรสารสนเทศด้วย เช่น หนังสืออ้างอิงจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหนังสือทั่วไป เพราะเขียนและรวบรวมโดยผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชา
ความหมายของบรรณารักษ์
บรรณารักษ์ คือ บุคคลที่มีความเป็นมืออาชีพในการจัดการข้อมูลในด้านบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์
โดยส่วนใหญ่แล้วบรรณารักษ์มักจะทำงานในห้องสมุดสาธารณะ ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดมหาวิทยาลัย
หรือแม้กระทั่งห้องสมุดในบริษัทต่างๆ รวมไปถึงโรงพยาบาล บรรณารักษ์มีหน้าที่ช่วยให้ผู้ที่มาใช้บริการทราบข้อเท็จจริง
จัดหาสารสนเทศและค้นทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ ทั้งหนังสือ วารสาร เว็บไซต์และสารสนเทศอื่น
ๆ พิจารณาหนังสือ นิตยสาร ภาพยนตร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยการจัดซื้อ จัดการหนังสือและทรัพยากรอื่น
ๆ ที่ผู้ใช้ต้องการ
การทำงานของบรรณารักษ์
บรรณารักษ์มีหน้าที่ช่วยให้คนทราบข้อเท็จจริง จัดหาสารสนเทศและค้นทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง
ๆ ทั้งหนังสือ วารสาร เว็บไซต์และสารสนเทศอื่น ๆ พิจารณาหนังสือ นิตยสาร ภาพยนตร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์โดยการจัดซื้อ
จัดการหนังสือและทรัพยากรอื่น ๆ ที่ผู้ใช้ต้องการ ส่วนใหญ่ทำงานเป็นกลุ่มหรือหน้าที่รับผิดชอบจะเกี่ยวข้องกัน
เช่น บรรณารักษ์บางคนทำงานเฉพาะเรื่องหรือเฉพาะสาขา เช่น ศิลปะ งานที่เกี่ยวกับเด็ก การอ่านและการสอนเกี่ยวกับหนังสือ การวิจัย บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดประชาชน ทำงานในโรงพยาบาล ธุรกิจ และสถานที่อื่น
ๆ ที่ผู้คนต้องการค้นหาสารสนเทศด้วยความรวดเร็ว ปัจจุบัน ห้องสมุดส่วนใหญ่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับการปฏิบัติงาน
จนบางครั้งสามารถพัฒนาฐานข้อมูลและเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการค้นหาสารสนเทศที่ต้องการ
จรรยาบรรณของบรรณารักษ์
การทำงานด้านบริการสารนิเทศ
ผู้ให้บริการจะต้องมีคุณสมบัติที่แตกต่างออกไปจากบรรณารักษ์ด้านอื่น ๆ ดังนั้นสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยจึงได้กำหนดจรรยาบรรณของบรรณารักษ์ไว้ดังนี้
หมวดที่ 1 จรรยาบรรณต่อผู้ใช้
1.ให้คำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้ก่อนสิ่งอื่นใด
2. ให้ใช้วิชาชีพที่ได้ศึกษามาให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้อย่างเต็มความสามารถ
3. ให้ความเสมอภาคแก่ผู้ใช้โดยไม่คำนึง
ฐานะ เชื้อชาติ ศาสนา สังคมและลัทธิการเมือง
หมวดที่ 2 จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
1. ไม่ประพฤติหรือกระทำผิดใด
ๆ อันเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ในวิชาชีพแห่งตน
2. ต้องศึกษาและแสวงหาความรู้
เพื่อให้ตนมีวุฒิเข้าขั้นมาตรฐาน ที่สถาบันวิชาชีพกำหนดไว้ และหมั่นเพียรฝึกฝนทักษะ ตลอดจนหาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ในการปฏิบัติงาน
3. ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่งเสริมเกียรติคุณของวิชาชีพผู้ร่วมอาชีพและเพื่อพัฒนาวิชาชีพ
4. ไม่ฝักใฝ่ในการเพิ่มพูนฐานะทางเศรษฐกิจส่วนตน
จนเป็นการบั่นทอนการปฏิบัติงานในหน้าที่รับผิดชอบ
หมวดที่ 3 จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมงาน
1. ให้ความยกย่องและนับถือผู้ร่วมงานและผู้ร่วมอาชีพทุกระดับที่มีความรู้
ความสามารถและความประพฤติดี
2. ให้ความเคารพและยอมรับในข้อตกลงที่เป็นมติของที่ประชุม
3. รักษาและแสวงหามิตรภาพระหว่างผู้ร่วมงานและผู้ร่วมอาชีพ
4. ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องยึดมั่นในคุณธรรมในการปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
ไม่มีอคติในการแต่งตั้งการพิจารณาความดีความชอบและการลงโทษ
หมวดที่ 4 จรรยาบรรณต่อสถาบัน
1. รักษาประโยชน์และชื่อเสียงของสถาบัน
และไม่กระทำการอันใด ที่จะเป็นทางทำให้เกิดความเสื่อมเสีย
2. ร่วมมือและปฏิบัติด้วยดีตามนโยบายที่ผู้บังคับบัญชาได้รับมา
เพื่อความก้าวหน้าของสถาบันโดยรวม
3. ไม่พึงใช้ชื่อและทรัพยากรของสถาบันเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือหมู่คณะโดยมิชอบ
หมวดที่ 5 จรรยาบรรณต่อสังคม
1. บรรณารักษ์ควรเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง
เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทภาระหน้าที่ที่มีต่อการพัฒนาท้องถิ่น และการพัฒนาประเทศ
2. พร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของชุมชน
ด้วยการใช้วิชาชีพโดยสุจริตและไม่เป็นการเสียหายต่อภาระหน้าที่ที่ปฏิบัติอยู่
3. ควรพยายามป้องกันมิให้กิจกรรมใดๆ
ที่เป็นภัยต่อสังคมแฝงไปในการดำเนินงานห้องสมุด
ปรัชญาวิชาชีพบรรณารักษ์
ปรัชญาวิชาชีพบรรณารักษ์
หมายถึงแนวความคิดหรือแนวทางความเชื่อเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในวิชาชีพบรรณารักษ์ หรือหลักสำหรับยึดถือเป็นแนวในการปฏิบัติ
ซึ่งรังกานาธาน บรรณารักษ์ชาวอินเดียได้สรุปแนวปฏิบัติไว้ 5 ประการดังนี้
1. หนังสือมีไว้ใช้ประโยชน์
(Books are for use) หนังสือทุกเล่มในห้องสมุดจะให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ความคิด
ความจรรโลงใจ หรือความบันเทิง
2. ผู้อ่านแต่ละคนมีหนังสือที่ตนจะอ่าน
(Every reader his book) ห้องสมุดจะต้องพยายามจัดหาหนังสือให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้บริการ
3. หนังสือทุกเล่มมีผู้อ่าน
(Every books its reader) ห้องสมุดจะต้องพยายามช่วยให้หนังสือทุกเล่มในห้องสมุด
ได้มีผู้อ่านเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หนังสือเล่มที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
4. ประหยัดเวลาของผู้อ่าน
(Save the time of the reader) พยายามหาวิธีการต่าง ๆที่จะช่วยให้ผู้ใช้พบกับหนังสือเล่มที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
5. ห้องสมุดเป็นสิ่งเจริญเติบโตได้
(Library is growing organism) หรือห้องสมุดเป็นสิ่งมีชีวิต ห้องสมุดจะต้องพยายามจัดหาหนังสือและวัสดุเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ
ความรับผิดชอบเพิ่มเติม
บรรณารักษ์ที่มีประสบการณ์อาจใช้เวลาการบริหารงานดังกล่าวเป็นกรรมการห้องสมุดหรือข้อมูล
ที่คล้ายกันกับการจัดการขององค์กรอื่น ๆ ที่พวกเขามีความกังวลกับการวางแผนระยะยาวของห้องสมุดและความสัมพันธ์ของตนกับองค์กรแม่
(เมืองหรือเขตสำหรับห้องสมุดประชาชนวิทยาลัย / มหาวิทยาลัยสำหรับห้องสมุดวิชาการหรือ องค์กรที่ให้บริการโดย ไลบรารีพิเศษ
) ในห้องสมุดขนาดเล็กหรือเฉพาะบรรณารักษ์มักจะมีประสิทธิภาพที่หลากหลายของหน้าที่ที่แตกต่างกัน
ตัวแทนตัวอย่างของความรับผิดชอบบรรณารักษ์
- ค้นคว้าข้อมูลในหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับการเลือกตั้งของพวกเขา
- หมายถึงลูกค้า
องค์กรชุมชน และ รัฐบาล สำนักงาน
- แนะนำหนังสือที่เหมาะสม
("ผู้อ่านที่ปรึกษา") สำหรับเด็กระดับการอ่านที่แตกต่าง-
- - กันและแนะนำ นิยาย สำหรับการอ่านสันทนาการ
- อำนวยความสะดวกและส่งเสริมการอ่านสโมสร
- การพัฒนาโปรแกรมสำหรับผู้ใช้ห้องสมุดของทุกเพศทุกวัยและภูมิหลัง
- จัดการการเข้าถึงแหล่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
สรุป
สารสนเทศศาสตร์
หมายถึง ข้อมูล ข่าวสารที่ถูกรวบรวมไว้และผ่านการประมวลผลข้อมูลเพื่อนำมาเรียบเรียงไว้เพื่อนำมาตีพิมพ์และเผยแพร่ในรูปแบบของวัสดุตีพิมพ์และไม่ตีพิมพ์
และ ทรัพยากรสารสนเทศ หมายถึงสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลความรู้ในเรื่องต่างๆ ทรัพยากรสารสนเทศจึงเปรียบเสมือนตัวกลางที่ใช้ในการเผยแพร่กระจายความรู้ของบุคคลหนึ่งไปยังคนอื่นๆที่ต้องการรับความรู้นั้น
สามารรับความรู้ที่บันทึกอยู่ในทรัพยากรสารสนเทศได้หลายลักษณะทั้งเป็นข้อความ ภาพ และเสียง
บรรณารักษ์ศาสตร์
หมายถึง บุคคลที่มีความเป็นมืออาชีพในการจัดการข้อมูลในด้านบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์
บรรณารักษ์มีหน้าที่ช่วยให้ผู้ที่มาใช้บริการทราบข้อเท็จจริง จัดหาสารสนเทศและค้นทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง
ๆ ทั้งหนังสือ วารสาร เว็บไซต์และสารสนเทศอื่น ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น