วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556



ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจ
ความหมายของธุรกิจ
- กิจกรรมใดๆก็ตามที่ทำให้เกิดมีสินค้าหรือบริการขึ้นแล้วมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันและมีวัตถุประสงค์จะได้ประโยชน์จากการกระทำกิจกรรมนั้น
- การดำเนินงานกิจกรรมทางด้านการผลิต การจำหน่ายและการบริการ
- วงจรอย่างหนึ่ง ซึ่งเริ่มตั้งแต่การนำทรัพยากรที่หาได้และปัจจัยต่างๆมาเปลี่ยนสภาพด้วยวิธีการต่างๆ จนกระทั่งได้เป็นสินค้าหรือบริการออกมาเพื่อจะนำออกจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค เมื่อจำหน่ายได้แล้วก็จะนำรายได้นั้นมาดำเนินการแปรสภาพทรัพยากรต่อไป

ประเภทและองค์ประกอบของการประกอบธุรกิจ
ประเภทของธุรกิจ
สามารถแบ่งตามลักษณะของกิจกรรมที่กระทำได้ดังนี้
1. ธุรกิจการเกษตร (Agriculture) คือธุรกิจที่ทำการผลิตทางด้านเกษตรกรรม
2. ธุรกิจเหมืองแร่ (Mineral) คือธุรกิจการทำเหมืองแร่ การขุดเจาะ รวมทั้งการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆมาใช้
3. ธุรกิจอุตสาหกรรม (Manufacturing) คือธุรกิจการผลิตสินค้าและเครื่องอุปโภคทั่วไป
- อุตสาหกรรมในครัวเรือน คืออุตสาหกรรมขนาดเล็ก ใช้แรงงานจากสมาชิกในครอบครัว
- อุตสาหกรรมในครัวเรือน คืออุตสาหกรรมขนาดเล็ก ใช้แรงงานจากสมาชิกในครอบครัวในช่วงเวลาว่างจากการประกอบอาชีพหลัก โดยใช้วัตถุดิบในครัวเรือน
- อุตสาหกรรมโรงงาน คือ ธุรกิจซึ่งผู้ผลิตทำการผลิตจากโรงงาน มีการจ้างแรงงานจากแหล่งบุคคลภายนอก มีกระบวนการผลิต เครื่องมือ เครื่องจักรซึ่งสามารถผลิตสินค้าได้ครั้งละมากๆ
4. ธุรกิจการก่อสร้าง (Construction) คือธุรกิจที่นำเอาสินค้าสำเร็จรูปจากธุรกิจอื่นๆมาใช้ในการก่อสร้าง
5. ธุรกิจเกี่ยวกับพาณิชย์ (Commercial) คือธุรกิจที่เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตอุตสาหกรรมต่างๆไปสู่ผู้บริโภค
6. ธุรกิจการเงิน (Finance) คือธุรกิจที่ให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน เช่นการให้กู้ยืม
7. ธุรกิจบริการ (Service) คือธุรกิจที่ให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกและสนองความต้องการของธุรกิจและบุคคล
8. ธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ธุรกิจที่นอกเหนือไปจากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระต่าง ๆ เช่น ครู แพทย์ เภสัช ฯลฯ
องค์ประกอบของการประกอบธุรกิจ
1. การจัดองค์กร คือกิจกรรมที่ทำให้องค์การสามารถจัดรูปแบบการทำงานของบุคลากรภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การผลิตและปฏิบัติการ คือกิจกรรมของการนำเอาวัตถุดิบมาผ่านกระบวนการในการผลิตเพื่อทำให้เกิดมีสินค้าหรือบริการ
3. การตลาด คือการดำเนินการเพื่อจะทำให้สินค้าหรือบริการที่ผลิตแล้วได้รับการเปลี่ยนมือไปถึงมือผู้บริโภค
4. การบัญชีและการเงิน คือการเก็บบันทึกข้อมูลการดำเนินงานการจัดทำงบการเงิน งบประมาณ การจัดหาเงินทุน การใช้เงินทุนและลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริหารให้เงินทุนหมุนเวียนอย่างพอเหมาะ
5. การจัดหาวัตถุดิบมาป้อนโรงงาน คือกิจกรรมในการจัดซื้อและควบคุมการจัดซื้อวัตถุดิบ รวมทั้งการตรวจนับสินค้าคงคลัง
6. การบริหารงานบุคคล คือการดำเนินการจัดสรรพนักงาน การฝึกอบรม การจัดหารูปแบบของการจูงใจและสวัสดิการต่างๆ เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารบุคคลซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กร
7. การจัดการระบบสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ คือการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อความมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่างๆ
8. การวิจัยและพัฒนา คือกิจกรรมเพื่อเน้นความคิดสร้างสรรค์ ค้นคว้านวัตกรรมใหม่ๆใน
ผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อความพึงพอใจของผู้บริโภคอย่างสูงสุด

ทรัพยากรและปัจจัยพื้นฐานของการทำธุรกิจ
1. MAN หมายถึง ปัจจัยที่เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพของงานอย่างเพียงพอในการประกอบธุรกิจ
2. MONEY หมายถึง แหล่งเงินทุนซึ่งธุรกิจสามารถนำมาใช้ในการสนับสนุนและเอื้ออำนวยความสะดวกต่อการทำธุรกิจ
3. MATERIALS หมายถึง วัตถุดิบและวัตถุที่ต้องจัดหามาเพื่อใช้ในการผลิตหรือสร้างบริการ ซึ่งต้องพิจารณาทั้งด้านคุณภาพและราคาเพื่อทำให้ต้นทุนของสินค้าหรือบริการที่ผลิตต่ำแต่ได้คุณภาพที่ดี
4. MANAGEMENT หมายถึง ปัจจัยในการจัดการซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร โดยรวบรวม ผลักดันและควบคุมปัจจัยที่เป็นทรัพยากร เพื่อดำเนินธุรกิจได้ตรงกับเป้าหมาย

การจัดองค์กรธุรกิจ
ความหมายของการจัดองค์กร
หมายถึง ความพยายามของผู้บริหารในการกำหนดแนวทาง โครงสร้างองค์กร โดยใช้กระบวนการต่างๆ สำหรับเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติงาน เพื่อความสำเร็จสมความมุ่งหมายตามแผนงานที่ได้จัดวางไว้
การจัดองค์กรมีพื้นฐานความคิดมาจากการที่กิจกรรมการดำเนินงานขององค์กรมีปริมาณมากเกินกว่าที่บุคคลเพียงคนเดียวจะกระทำให้สำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของความรู้ความสามารถและความเหมาะสมของบุคคลทุกๆฝ่ายช่วยกันจัดสรรงานตามความเหมาะสมของตนเองและลักษณะงานนั้นๆ

ประโยชน์ของการจัดองค์กร
1. ผู้ปฏิบัติงานทราบถึงขอบเขตของงาน ความรับผิดชอบ อำนาจหน้าที่และภารกิจต่าง ๆที่กำหนดไว้
2. ประสานหน้าที่งานด้านต่างๆและจัดกลุ่มงานที่สัมพันธ์ให้อยู่ในหน่วยเดียวกัน ทำให้การทำงานไม่ซ้ำซ้อนและขจัดข้อขัดแย้งในหน้าที่งาน รวมทั้งทำให้ประหยัด
3. เห็นกระแสการไหลของงานและลดความสับสนในการทำงาน
4. มีขวัญกำลังใจและร่วมแรงร่วมใจในการทำงานดีขึ้น

แผนภูมิองค์การ
คือ รูปไดอะแกรมที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะต่างๆที่สำคัญขององค์กร รวมทั้งหน้าที่และความสัมพันธ์ของฝ่ายต่างๆ เพื่อทำให้พนักงานได้ทราบและเข้าใจถึงลักษณะโครงสร้างขององค์กรที่ตนเองทำงานอยู่ แผนภูมิองค์กรควรแสดงสิ่งที่สำคัญ 5 ประการคือ
1. มีการแบ่งหน่วยงานในแต่ละฝ่าย โดยแสดงถึงขอบเขตความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานและของบุคคลในหน่วยงานนั้น
2. มีการใช้เส้นแสดงการเชื่อมโยงของสายการบังคับบัญชาว่า ใครเป็นผู้ออกคำสั่งและใครต้องรายงานต่อใคร เป็นต้น
3. มีการแบ่งงานเป็นกลุ่ม เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน
4. ประเภทของงานที่ต้องปฏิบัติ โดยแสดงและอธิบายย่อๆอย่างชัดเจนถึงงานต่างๆและขอบเขตของความรับผิดชอบสำหรับงานนั้น
5. ระดับของการจัดการ โดยแสดงให้เห็นว่าในแต่ละหน่วยงานมีใครเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา รวมทั้งแสดงถึงส่วนรวมขององค์กรด้วย ผู้ที่ต้องรายงานต่อผู้บริหารคนเดียวกัน จะอยู่ในระดับเดียวกัน

หลักเกณฑ์การจัดแผนกงาน
การจัดแผนกงานขององค์กร อาจใช้ข้อพิจารณาจากหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1. จำนวนคน (By number)
คือจัดรวมคนเป็นจำนวนเท่าๆกันแล้วแบ่งงานให้แก่บุคคลเหล่านี้ มักใช้ในระดับต่ำสุดขององค์กร
2. หน้าที่ (Function)
คือการรวมกลุ่มหน้าที่ต่างๆที่คล้ายคลึงกันเข้าด้วยกันแล้วจัดเป็นแผนก เช่นหน้าที่การผลิต การเงิน แต่ละแผนกจะรายงานผลการปฏิบัติงานโดยตรงไปยังผู้จัดการใหญ่ ซึ่งผู้บริหารระดับสูงสุดจะเป็นผู้ประสานงานให้ทุกอย่างสอดคล้องประสานกัน มีข้อดีคือทำให้บุคคลทำงานตามความถนัดและสามารถของตนเอง การควบคุมไม่ยุ่งยาก เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กในระยะแรก แต่ไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีการขยายตัว
3. ผลิตภัณฑ์ (Product)
คือการจัดแผนกโดยผู้บริหารสูงสุดมอบหมายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทไปให้กับผู้บริหารของแต่ละผลิตภัณฑ์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างมีกลยุทธ์และเทคนิคเฉพาะตัวแตกต่างกัน
ข้อดีคือทำให้หน่วยงานต่างๆ มีอิสระและสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทได้อย่างเต็มที่ แต่ข้อเสียคืออาจเกิดปัญหาของงานในหน้าที่เดียวกัน เช่นการเงิน การตลาด ซึ่งอาจทำให้การทำงานซับซ้อน
4. พื้นที่ทำงาน (Territory) คือการจัดแบ่งกลุ่มโดยคำนึงถึงการใช้พื้นที่และสภาพทางภูมิศาสตร์หรือทำเลที่ตั้งของกิจการที่ต้องเข้าไปดำเนินการในพื้นที่นั้นๆ ทำให้ผู้บริหารของแต่ละท้องที่สามารถใช้แนวทางการจำหน่ายหรือการบริหารได้เหมาะสม โดยปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของแต่ละแห่ง เช่นการจำหน่ายน้ำมัน ประกันชีวิต แต่ทำให้ต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในด้านการประสานงานและการคมนาคม
5. ลูกค้า (Customer)
คือการจัดโดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อให้กิจการสามารถตอบสนองความต้องการและความพอใจของลูกค้ากลุ่มต่างๆได้ดี มักเป็นธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบชนิด เช่นร้านขายเสื้อผ้าซึ่งมีแผนกเด็ก สุภาพสตรี สุภาพบุรุษ แต่ข้อเสียคือหากเกิดความผันผวนของลูกค้าในบางกลุ่ม ก็อาจทำให้บางแผนกมีกิจกรรมการทำงานลดลงจนถึงขั้นยุบแผนก
6. โครงการหรือเมตริกซ์ (Project or Matrix organization) คือการจัดตามหน้าที่โครงสร้างหลัก แล้วสร้างทีมโครงการขึ้นช่วยเสริมเมื่อมีความต้องการใช้ โดยที่โครงการนั้นต้องการความชำนาญเฉพาะด้าน สมาชิกของทีมโครงการมาจากแผนกงานตามหน้าที่จะเข้าอยู่ภายใต้การอำนวยการของผู้บริหารโครงการเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องรับความผิดชอบต่อความสำเร็จของโครงการ เมื่อโครงการนั้นสำเร็จ ทีมโครงการจะกลับไปยังแผนกงานเดิม จนกว่าจะมีโครงการใหม่ วิธีการจัดแผนกแบบนี้เหมาะกับองค์กรที่มีกิจการซับซ้อน แต่ทำให้การบังคับบัญชาซับซ้อน สับสนเพราะจะไม่ขึ้นกับผู้บังคับบัญชาเพียงผู้เดียว


วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556


การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ
Information Resource Management: IRM
1. ทรัพยากรสารสนเทศ (Information Resources)
ทรัพยากรสารสนเทศ ความหมายโดยทั่วไป คือ ข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ ความรู้ ความคิด
ประสบการณ์ทีเป็นแก่นหรือเนื้อหาสำคัญทีได้จำแนก ชีแจง แสดงออกมาให้ปรากฏ โดยการกลันกรอง
เรียบเรียงและประมวลไว้โดยใช้ภาษา สัญลักษณ์ รูปภาพ รหัส และอื่นๆ รวมทังบันทึกลงบนวัสดุหลาย
ชนิด เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ทรัพยากรตีพิมพ์/วัสดุตีพิมพ์ (Printed materials) หมายถึงวัสดุทีบันทึกสารสนเทศใน
รูปแบบของตัวอักษร ภาพและสัญลักษณ์อื่น ๆ โดยผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เช่น
หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ กกฤตภาค (clipping) เป็นต้น
2. ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์/วัสดุไม่ตีพิมพ์ (Non-printed materials) หมายถึง ทรัพยากรสารสนเทศที
บันทึกไว้ในสื่อทีไม่ได้ผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เช่น ต้นฉบับตัวเขียน โสตวัสดุ แถบ
บันทึกเสียง ไมโครฟิล์ม สื่อวัสดุคอมพิวเตอร์ต่างๆ (CD-ROM/DVD)
3. ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic resource) เช่น หมายถึง สารสนเทศทีจัดเก็บไว้ด้วย
ระบบคอมพิวเตอร์ โดยมีชุดคำสัง ระบบจัดการฐานข้อมูล ทำหน้าทีควบคุมการจัดการและ
การใช้ฐานข้อมูลประเภทของฐานข้อมูลแบ่งตามลักษณะการใช้งานแบ่งได้ 2 ประเภทคือ
ฐานข้อมูลออฟไลน์ และฐานข้อมูลออนไลน์ แบ่งตามเนือหาสารสนเทศทีให้บริการแบ่งได้เป็น ฐานข้อมูลบรรณานุกรม และฐานข้อมูลฉบับเต็ม
ประเภทของฐานข้อมูลแบ่งตามลักษณะการใช้งานแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ฐานข้อมูลออฟไลน์ (Offline Database) หมายถึงฐานข้อมูลทีจัดเก็บสารสนเทศไว้ในสือ
อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ซีดีรอม (CD-ROM) การปรับปรุงและการเรียกใช้งานฐานข้อมูล
ไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา
2. ฐานข้อมูลออนไลน์ (Online Database) หมายถึงฐานข้อมูลทีให้บริการผ่านทางระบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทีผู้จัดการฐานข้อมูลสามารถปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัยและผู้ใช้
สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ซึงในปัจจุบันจะให้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต
ทั้งนี้ทรัพยากรสารสนเทศในแนวทางของการจัดการระบบทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ทรัพยากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทีสำคัญ สามารถแบ่งได้เป็น
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทีเป็นชินส่วนจับต้องได้
2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้มีการประมวลผล
เพื่อให้ผลลัพธ์ทีต้องการ
3. พีเพิลแวร์ (Peopleware) คือ บุคคลทีมีความเกี่ยวข้องในการพัฒนาระบบงานหรือใช้งาน
คอมพิวเตอร์
4. ข้อมูล (Data) ข้อเท็จจริง หรือ สารสนเทศ ทีนำเข้าเพื่อให้เกิดการประมวลผลในระบบ
2. การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ (Information resource management - IRM)
การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ หมายถึง นโยบายการจัดการและการปฏิบัติงานในการจัดหา
บำรุงรักษาใช้ประโยชน์ เผยแพร่สารสนเทศภายในองค์การ เน้นที การรวบรวม จัดเก็บให้บริการ
สารสนเทศ (ทีเกี่ยวข้อง) อย่างมีคุณภาพ ถูกต้อง ทันตรงเวลา มีต้นทุนทีเหมาะสม พร้อมทังการเข้าถึงสารสนเทศทีเหมาะสมด้วย
การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ ครอบคลุมถึง
1) การจัดองค์การเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นจัดหน้าทีการทำงานและหน่วยงานเทคโนโลยี
สารสนเทศ
2) บุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการจำแนกบุคลากรประเภทต่าง ๆ และผู้บริหารงาน
สารสนเทศ
3) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึงจำแนกเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียวและค่าใช้จ่ายประจำ

2.1 การจัดองค์การเทคโนโลยีสารสนเทศ
การจัดองค์การ เป็นการจัดโครงสร้างองค์การหรือหน่วยงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อแสดง
รูปแบบของหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์การ ตลอดจนบทบาท ภาระหน้าที และความรับผิดชอบในงานด้าน
ต่างๆ ลักษณะการจัดองค์การ อธิบายในรายละเอียดได้ดังนี้
2.1.1 งานเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT function) ปัจจุบันงานเทคโนโลยีสารสนเทศมีขอบเขตงานทีกว้างขวาง
กว่าการประมวลผลทีคยเป็นมาในอดีต แต่จะครอบคลุมงานหลายด้าน เช่น เทคโนโลยีทีใช้ในการจัดทำ
ระบบสารสนเทศหลายประเภท การจัดการสารสนเทศ การจัดการด้านการให้บริการสารสนเทศ ฯลฯ
ประเด็นสำคัญของงานเทคโนโลยีสารสนเทศต้องสัมพันธ์กับงานระบบสารสนเทศ แม้ปัจจุบันยังไม่สามารถ
กำหนดได้ว่า งานระบบสารสนเทศมีกี่แบบและแบบใดทีดีทีสุด เพราะขึ้นอยู่กับโครงสร้างและงานแต่ละ
องค์การ กลยุทธ์สารสนเทศของแต่ละองค์การ เมือระบบสารสนเทศกลายเป็นระบบสารสนเทศระหว่างชาติ
2.2 บุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
บุคลากรทีปฏิบัติงานในหน่วยงานเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคแรกจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ทีทำงาน
เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเน้นเฉพาะนักเทคนิค ปัจจุบันนิยมจำแนกบุคลากรโดยพิจารณาจากความรู้ด้าน
เทคโนโลยี หน้าที รวมทังลักษณะของงานทีทำ บุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกได้หลาย
ลักษณะ คือ ตามงานทีทำ ตามกลุ่มงานหลัก และกลุ่มผู้บริหารงานสารสนเทศระดับสูง

2.3 ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ต้องเตรียมงบประมาณให้เพียงพอกับเรืองทีวางแผนไว้ เพื่อให้
เกิดประโยชน์ตามทีกำหนดไว้ การเตรียมค่าใช้จ่ายหรือจัดทำงบประมาณแต่ละปี พิจารณาจากงานของปีที
ผ่านมา เพื่อจัดงบประมาณ ซึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศมีหลายด้าน หากหลงลืมบางรายการ
หรือจัดไว้ไม่เพียงพอ ย่อมทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติงานได้ และต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของ
รายการงบประมาณเพื่องานทีสำคัญเร่งด่วน ค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ค่าใช้จ่ายครั้งเดียว และ
ค่าใช้จ่ายประจำ
ค่าใช้จ่ายในการมีสารสนเทศในองค์การ
1. ค่าใช้จ่ายในการได้มาของระบบ / การพัฒนาระบบสารสนเทศ
2. ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระบบสารสนเทศ
ระบบขนาดเล็ก ระบบขนาดกลาง ระบบขนาดใหญ่
การประเมินค่าใช้จ่าย ตังแต่จุดเริมต้นจนสุดช่วงอายุของระบบงาน มีเทคนิคการประเมิน ดังนี้
1. พิจารณาจากกลวิธี และ ลักษณะเฉพาะของระบบ มักเป็นการวัดขนาดของโปรแกรม
2. ประเมินโดยใช้ผู้เชียวชาญ
3. ประเมินจากโครงการทีคล้ายคลึงกัน
4. ประเมินจากทรัพยากรทีใช้ในระบบ
5. ประเมินจากจำนวนลูกค้าทีมี
1. ค่าใช้จ่ายครังเดียว เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับลงทุนในวัสดุ อุปกรณ์ ค่าจัดเตรียมสถานที ฯลฯ มีดังนี
1) ค่าอุปกรณ์ประเภทฮาร์ดแวร์ ได้แก่ เครืองคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง ต่าง ๆ อุปกรณ์การ
สือสาร อุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติ ฯลฯ
2) ค่าซอฟต์แวร์ ได้แก่ ซอฟต์แวร์ระบบ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ทีจะใช้
3) ค่าจัดเตรียมสถานทีได้แก่ ค่าตกแต่งห้องสำหรับติดตังอุปกรณ์ ค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าเครืองปรับอากาศ
ค่าจัดทำยกพื้นเพือวางสายไฟฟ้า
4) ค่าจัดเตรียมระบบสือสารโทรคมนาคม เช่น ค่าเดินสายระบบสือสาร หมายเลขโทรศัพท์ ฯลฯ
5) ค่าดำเนินการจัดซือจัดหาวัสดุอุปกรณ์ ทีสำคัญ คือ ค่าใช้จ่ายในการประชุม ค่าทีปรึกษา ค่าเอกสาร
การดำเนินการประมูล การคัดเลือก การจัดทำเอกสารข้อกำหนดคุณลักษณะ (specifications) ของ
อุปกรณ์ IT ฯลฯ
6) ค่าใช้จ่ายอืน เช่น ค่าฝึกอบรมผู้ใช้ ค่าแปลงข้อมูลเดิมไปสู่ระบบใหม่
7) ค่าพัฒนาระบบสารสนเทศ ในกรณีทีพัฒนาเอง คือ การวิเคราะห์ การออกแบบ การจัดทำระบบ

2. ค่าใช้จ่ายประจำ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินการทีต้องจัดเตรียมทุกปี มีดังนี้
1) ค่าเช่าอุปกรณ์ ค่าเช่าสถานที่ ในกรณีทีใช้การเช่า
2) ค่าบำรุงรักษาเครือง ใช้การประมาณเป็นร้อยละของราคาเครือง
3) ค่าบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ โดยมีทังการซือสิทธิการใช้ประจำปีทุกปี เช่น ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส
รวมทังค่าบำรุงรักษาสำหรับซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ
4) ค่าสาธารณูปโภค ได้แก่ ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์
5) ค่าวัสดุสินเปลือง ทีสำคัญคือ กระดาษ หมึกพิมพ์ จานซีดี และสือบันทึกข้อมูลต่าง ๆ
6) เงินเดือน เงินพิเศษ ค่าจ้างเงินเดือน ค่าทีปรึกษาทีปรึกษา
7) ค่าประกันภัย ด้านเพลิงไหม้ โจรกรรม
8) ค่าตำรา สิงพิมพ์ เพื่อการศึกษา และติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการ
9) ค่าใช้จ่ายในการสำรองข้อมูล

3. ประโยชน์ของ IRM
- ช่วยจำแนกสารสนเทศเพือการจัดเก็บ
- ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการทำงาน
- ช่วยให้ จัดหาและทำงานกับสารสนเทศได้ อย่างประหยัด
- ช่วยจำแนกต้นทุนและกำไรของแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ
- ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของฝ่ายบริหารด้วยสารสนเทศทีมีคุณภาพ
สรุป
- งาน IRM เกียวกับการจัดการทรัพยากรสารสนเทศ ซึงมีหลายอย่าง ทรัพยากรสารสนเทศ
แต่ละอย่างต้องการแนวทางและวิธีการจัดการต่างกัน
- การจัดการ IR อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ หน่วยงานมี ทรัพยากรสารสนเทศทีมีคุณภาพ
คุ้มค่า และสามารถนำไปใช้ได้อย่างทัวถึงและเป็นประโยชน์ จริง

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

สถาบัญสารสนเทศ
       

   จากความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิชาการและเทคโนโลยี ทำให้มีการผลิตสารสนเทศออกมาเผยแพร่
ย่างมากและรวดเร็ว การที่สังคมมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นทำให้มนุษย์มีความต้องการสารสนเทศมากขึ้นเป็นทวีคูณเช่นเดียวกัน และเนื่องจากมนุษย์แต่ละคน ไม่อาจรวบรวมหรือจัดเก็บสารสนเทศทุกชิ้นที่ผลิตขึ้นมาได้ทั้งหมด แต่ทว่ายังมีความต้องการในการใช้ ดังนั้น จำเป็นต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่จัดหา รวบรวม จัดเก็บ และให้บริการสารสนเทศกับมนุษย์แต่ละคน เพื่อสนองความต้องการด้านการใช้สารสนเทศ จึงทำให้เกิดสถาบันบริการสารสนเทศขึ้น           สถาบันบริการสารสนเทศ มีวัตถุประสงค์หลัก คือ ให้บริการสารสนเทศตามความต้องการของผู้ใช้ แต่เนื่องจากวิวัฒนาการของสังคม การพัฒนาของศาสตร์ต่างๆ ความแตกต่างของสารสนเทศ ผู้ใช้ และความต้องการของผู้ใช้ จึงเกิดสถาบันบริการสารสนเทศหลากหลายรูปแบบ เช่น ห้องสมุด ศูนย์สารสนเทศ ศูนย์ข้อมูล ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศ ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ หน่วยงานจดหมายเหตุ สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งสถาบันบริการสารสนเทศรูปแบบต่างๆ นี้ มีวัตถุประสงค์หลักเหมือนกัน แต่จะมีหน้าที่แตกต่างกันอยู่บ้างในด้านสาขาวิชาที่ให้บริการ ประเภททรัพยากรสารสนเทศ และประเภทของการให้บริการ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับประเภทของผู้ใช้บริการ โดยจะกล่าวถึงรายละเอียดของสถาบันบริการสารสนเทศที่สำคัญๆ พอสังเขป ดังนี้           ห้องสมุด
 ห้องสมุด
          
ห้องสมุด (library) มาจากศัพท์ภาษาละตินว่า libraria แปลว่าที่เก็บหนังสือ และคำว่า libraria มาจากรากศัพท์ว่า liber แปลว่า หนังสือ เพราะในอดีตทำหน้าที่อนุรักษ์ สะสมความรู้ที่อยู่ในรูปหนังสือ เป็นสถาบันบริการสารสนเทศรูปแบบดั้งเดิม ในภาษาไทยใช้คำว่า "ห้องสมุด" ซึ่งมีความหมายว่า

จากประเภทของห้องสมุด หรือสถาบันบริการสารสนเทศ ที่ผู้ใช้คุ้นเคยดังกล่าว ซึ่งให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ ในรูปแบบสิ่งพิมพ์เป็นส่วนใหญ่ ต่อมาเมื่อมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ ในงานห้องสมุด เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงาน สามารถปฏิบัติงานและให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดระบบห้องสมุดอัตโนมัติ (automated library system) ในปัจจุบันจะได้ยินคำว่า ห้องสมุดเสมือน (virtual library) ห้องสมุดดิจิทัล (digital library) ซึ่งเกิดจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการบันทึกสารสนเทศมากขึ้น และมีการจัดเก็บสารสนเทศ ไว้ในรูปของสัญญาณดิจิทัล และเมื่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และระบบโทรคมนาคมมีมากขึ้น จึงเกิดการพัฒนาศักยภาพ ของการบริการสารสนเทศในลักษณะห้องสมุดดิจิทัล ซึ่งมีสาเหตุจาก ความต้องการเผยแพร่ทรัพยากรสารสนเทศออกไป ให้กว้างขวางและทั่วถึง เกินกว่าจำนวนทรัพยากรสารสนเทศ ที่มีอยู่จริง เพื่อแก้ปัญหา ด้านการขาดแคลนทรัพยากรสารสนเทศ หรือในกรณีที่มีผู้ต้องการใช้ทรัพยากร
สารสนเทศ ที่มีอยู่ที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียว หรือมีใช้อยู่ในวงจำกัดพร้อมกันหลายคน หรือบางแห่งมีทรัพยากรสารสนเทศอยู่ แต่ไม่มีผู้ใช้บริการ ในขณะที่ เป็นความต้องการของผู้ใช้ที่อื่น รวมทั้ง การแก้ปัญหาด้านสถานที่จัดเก็บ ที่มีขนาดไม่สมดุลย์กับปริมาณการเพิ่มขึ้น ของทรัพยากรสารสนเทศ

          ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาที่ดี คือ การจัดบริการในรูปห้องสมุดดิจิทัล ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างห้องสมุดหลายแห่ง โดยการใช้เครือข่ายเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ใช้บริการ สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างไม่จำกัดเวลา และสถานที่ ทำให้เกิดห้องสมุดรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากห้องสมุดที่คุ้นเคยทั้งความหมาย รูปแบบทรัพยากรสารสนเทศและการให้บริการ โดยมีการเรียกชื่อที่แตกต่างออกไป เช่น ห้องสมุดปราศจากกำแพง (library without wall) ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (electronic library) ห้องสมุดเสมือน (virtual library) ห้องสมุดดิจิทัล (digital library) เป็นต้น มีลักษณะการให้บริการสารสนเทศดิจิทัล ทั้งลักษณะเนื้อหาเต็ม (fulltext) และสื่อประสม การค้นคืนสารสนเทศเพิ่มความสามารถการค้นคืน ในลักษณะการค้นคืนรายการผ่านเครือข่ายระบบออนไลน์ (Web Online Catalog หรือ WebOPAC) ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากัน เพราะผู้ใช้บริการจะอยู่ ณ สถานที่ใดก็ได้ ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากจุดที่ให้บริการ แต่สามารถสื่อสารผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศได้ จึงมีคำที่ใช้เรียกแทนบรรณารักษ์ (librarian) ผู้ให้บริการว่า ไซเบอร์เรียน (cyberian) ซึ่งจะทำหน้าที่จัดการ ให้บริการ แก่ผู้ใช้บริการจากสถานที่ต่างๆ เรียกว่า ไซเบอร์สเปซ (cyber space) ที่ผ่านเข้ามาใช้สารสนเทศในระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงถึงกัน
 ศูนย์สารสนเทศ
          จากความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่างๆ ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลการค้นคว้าวิจัย การค้นพบหลักการ ทฤษฎี และความรู้ใหม่ๆ ทำให้นักวิชาการมีความตื่นตัว มีการผลิตสารสนเทศออกมามากทำให้เกิดภาวะสารสนเทศท่วมท้น ขณะเดียวกัน ความต้องการในการใช้สารสนเทศของผู้ใช้เปลี่ยนไป คือ มีความต้องการสารสนเทศที่มีขอบเขตกว้างขวาง และมีเนื้อหาเฉพาะเจาะจง ทันสมัย ถูกต้อง รวดเร็ว ซึ่งห้องสมุดไม่สามารถสนองความต้องการได้ จึงมีการจัดตั้งศูนย์สารสนเทศขึ้น
          ศูนย์สารสนเทศ (Information center) หมายถึง หน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดหา จัดเก็บ และให้บริการสารสนเทศเฉพาะสาขา หรือเฉพาะเรื่อง ศูนย์สารสนเทศจะรวมหน้าที่ของห้องสมุดเฉพาะ และขยายบทบาทรวมถึงหน้าที่ใกล้เคียง เช่น การเขียนรายงานวิชาการ การทำสาระสังเขป บริการคัดเลือกและเผยแพร่สารสนเทศ และบริการค้นคว้าจากเอกสารให้แก่ผู้ใช้บริการ
 
          คำว่าศูนย์สารสนเทศ อาจใช้คำว่า ศูนย์บริการเอกสาร (documentation center) แทนได้ เนื่องจากมีภาระหน้าที่และลักษณะการปฏิบัติงานเหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่าง คือ ศูนย์บริการเอกสารเน้นวิธีการดำเนินงานเกี่ยวกับเอกสาร ขณะที่ศูนย์สารสนเทศ เน้นการนำไปให้บริการกับผู้ใช้
  ศูนย์ข้อมูล
          ศูนย์ข้อมูล (data center) คือ แหล่งสะสมและเผยแพร่ข้อมูล ส่วนใหญ่เป็นตัวเลขหรือข้อมูลดิบ ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของหน่วยงาน เพื่อเผยแพร่และให้บริการแก่ผู้ใช้อย่างมีระบบ มักใช้คอมพิวเตอร์จัดเก็บและประมวลผลข้อมูล
  ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ 
          ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ (referal center) คือ หน่วยงานที่ให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้ โดยแนะนำให้ทราบถึงแหล่งสารสนเทศ เช่น สถาบันบริการสารสนเทศ สถาบันการศึกษา สมาคมวิชาการ สมาคมวิชาชีพ ฯลฯ เพื่อให้ผู้ใช้ติดต่อ ค้นคว้า อ้างอิงโดยตรงต่อไป ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ ส่วนใหญ่จะจำกัดสาขาวิชา เช่น ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศสิ่งแวดล้อมนานาชาติ เป็นต้น ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศจะไม่จัดหา จัดเก็บ และให้บริการสารสนเทศที่เป็นคำตอบโดยตรง แต่จะรวบรวมหรือจัดทำสารสนเทศประเภทคู่มือต่างๆ ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ แหล่งสารสนเทศ เช่น นามานุกรม ดรรชนี และตอบคำถามแก่ผู้ใช้ โดยแนะนำให้รู้จักแหล่งสารสนเทศที่เหมาะสม ในสาขาวิชาที่เฉพาะหรือตามขอบเขตของภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
 หน่วยงานจดหมายเหตุ
          หน่วยงานจดหมายเหตุ (archives center) หมายถึง หน่วยงานราชการ หรือเอกชน ที่ทำหน้าที่เก็บรักษาจดหมายเหตุไว้เพื่อประโยชน์ในแง่ต่าง ๆ ได้แก่

          1. เพื่อเป็นหลักฐานแสดงประวัติ พัฒนาการ นโยบาย และการดำเนินงานในอดีต

          2. เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงาน ใช้อ้างอิงในการปฏิบัติหน้าที่ ช่วยให้การดำเนินงานบรรลุตามเป้าหมาย เป็นตัวอย่างในการกำหนดนโยบาย และแก้ปัญหาทางการบริหาร เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ

          3. เพื่อประโยชน์ต่อการอ้างอิง การค้นคว้าวิจัยในสาขาวิชาต่างๆ

          4. เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
          ในประเทศไทย หน่วยงานที่ทำหน้าที่เก็บรักษาจดหมายเหตุของทางราชการ ที่หน่วยงานราชการต่างๆ ส่งมอบให้ และบันทึกเหตุการณ์ร่วมสมัยของชาติ ที่มีความสำคัญไว้เป็นประวัติศาสตร์ เพื่อให้บริการค้นคว้าวิจัยแก่บุคคลทั่วไป คือ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์

          สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ให้บริการสารสนเทศโดยคิดค่าใช้จ่าย แบ่งออกเป็น
 ประเภท คือ
          1. 
บริษัทค้าสารสนเทศ (information company) คือ บริษัทที่ทำธุรกิจด้านการจัดดำเนินการ วิเคราะห์ สื่อสาร และให้บริการสารสนเทศในสาขาวิชาต่าง ๆ
          2. 
นายหน้าค้าสารสนเทศ (Information broker) คือ บุคคลหรือองค์กรที่ทำธุรกิจบริการรวบรวม จัดเก็บ ประมวลผล ประเมินค่า และเผยแพร่สารสนเทศตามความต้องการของลูกค้าโดยใช้แหล่งทรัพยากรทั้งหมดที่สามารถหาได้ (เอกสารการสอนชุดวิชาสารสนเทศศาสตร์เบื้องต้น, 2535, หน้า 152)
          3. 
ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายฐานข้อมูล หมายถึง ผู้ที่ผลิตและสะสมข้อมูลในรูปแบบที่สามารถอ่านได้โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ เรียกว่า ฐานข้อมูล ซึ่งฐานข้อมูลอาจผลิตโดยหน่วยงานทางการค้า หน่วยงานของรัฐบาล สมาคมวิชาการ สมาคมวิชาชีพ ฯลฯ สามารถให้บริการได้ทั้งระบบออนไลน์ (online system) และระบบออฟไลน์ (offline system) ซึ่งระบบออนไลน์ คือ ระบบที่ผู้ใช้ติดต่อไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อค้นคืนสารสนเทศจากฐานข้อมูล โดยผ่านช่องทางการสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ โทรสาร ผู้ผลิตฐานข้อมูลได้นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการบันทึกจัดเก็บข้อมูลและสร้างฐานข้อมูล ส่วนระบบออฟไลน์ คือ ระบบการประมวลผลที่ทำขึ้นโดยใช้อุปกรณ์ไร้สาย เช่น จัดทำเป็นแถบแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก จานแสง วัสดุย่อส่วน ซีดี-รอม เป็นต้น
http://planet.kapook.com/tomnakhae/blog/view/64676

สถาบันบริการสารนิเทศมีหน้าที่รวบรวมและพยายามเผยแพร่ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร เพื่อให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งหน่วยงานที่ให้บริการสารสนเทศในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทและหน้าที่เพิ่มขึ้นหลายอย่างแต่หน่วยงานเหล่านั้นก็มักจะมี
จุดมุ่งหมายอันเดียวกัน คือ เพื่อบริการให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุดดังนั้นการจำแนกหน้าที่ของสถาบันบริการ
สารสนเทศจึงมีอยู่หลายประการดังนี้

1. รวบรวมทรัพยากรสสารนิเทศทุกรูปแบบที่มีคุณภาพ ทันสมัย และมีประโยชน์ในสาขาวิชาที่สถาบันบริการสารนิเทศนั้น จัดบริการให้ตรงกับความสนใจและความต้องการของผู้ใช้ มีทั้งข้อมูลทั่ว ๆ ไปและข้อมูลที่ใช้เพื่ออ้างอิง ค้นคว้าและวิจัย เป็นต้น
2. จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อความสะดวก รวดเร็วในการจัดเก็บและการให้บริการโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการ
 จัดเก็บและการบริการ เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
3. ผลิตทรัพยากรสารนิเทศ ปฐมภูมิ (Primary Sources) ทุติยภูมิ (Secondary Sources) และ ตติยภูมิ (Tertiary Sources)พื่อบริการและเผยแพร่แลกเปลี่ยนกับสถาบันบริการสารนิเทศอื่น ๆ และเพื่อการประชาสัมพันธ์ เช่น การผลิตหนังสือ วารสารหรือจดหมายข่าว จุลสาร ซีดีรอม วีดีทัศน์ ทำโฮมเพจสถาบัน ทำดัชนีวารสาร ทำสาระสังเขป รวบรวมบรรณานุกรมทั่ว ๆ ไป
ทำบรรณานุกรมทรัพยากรสารนิเทศใหม่ ๆ ทำกฤตภาค จัดทำสำเนาเอกสาร รูปภาพ หนังสือ และบริการข่าวสารทันสมัย เป็นต้น 
4. จัดทำศูนย์แลกเปลี่ยนและเผยแพร่ข้อมูล และทรัพยากรสารนิเทศใหม่ ๆ รูปแบบต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสถาบันบริการ
    
สารนิเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนเครือข่ายและที่มีผู้ขอใช้บริการมา
 5. จัดทำฐานข้อมูลและมีบริการค้นคืนสารนิเทศ (Information Retrieval Service)
 6. จัดสถานที่อ่านและจัดหาครุภัณฑ์ที่นั่งค้นคว้า ทันสมัย มีขนาดเหมาะกับผู้ใช้ และจัดที่นั่งเป็นสัดส่วน 
    
ปรับอุณหภูมิและแสงสว่างที่เหมาะกับการศึกษาค้นคว้าวิจัย ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ บริการให้มาใช้เป็นประจำ
 7. จัดให้มีศูนย์แนะแหล่งสารนิเทศ เพื่อแนะนำให้ผู้ใช้ได้ค้นคว้าแหล่งสารนิเทศอื่น ๆ ได้อีก เช่น จัดทำสหบัตรทรัพยากรสารนิเทศ(Union Catalog) เพื่อเป็นคู่มือให้ผู้ใช้ได้ทราบแหล่งสารนิเทศอื่น ๆ รวบรวมรายชื่อแหล่งสารนิเทศหรือสถาบันบริการสารนิเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนรวบรวมบรรณานุกรมรายชื่อทรัพยากรสารนิเทศบอกสถานที่สำนักพิมพ์หรือโรงพิมพ์ที่จัดพิมพ์และจำหน่ายและราคาของทรัพยากรสารนิเทศนั้น ๆ
 8. จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในรูปแบบต่าง ๆ และประชาสัมพันธ์ให้มีผู้มาร่วมกิจกรรมด้วย เช่น จัดนิทรรศการใหม่ 
   นิทรรศการตามเทศกาล นิทรรศการปะวัติบุคคลสำคัญ แข่งขันตอบปัญหาในหนังสือ ประกวดอ่านทำนองเสนาะ ฯลฯ
9. จัดบริการพิเศษอื่น ๆ ให้กับผู้ใช้ เช่น บริการถ่ายเอกสาร บริการแปลบริการบรรณานิทัศน์บริการยืมระหว่างสถาบัน
     
บริการสารนิเทศ เป็นต้น
10. บริการค้นคว้าข้อมูลจากระบบอินเตอร์เน็ต
 11. จัดบริการบรรยาย ปาฐกถา โต้วาที อภิปราย ฯลฯ 
 สถาบันบริการสารสนเทศ
สถาบันบริการสารสนเทศ  หมายถึงองค์การที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ให้บริการสารสนเทศตามความต้องของผู้ใช้  ซึ่งจำแนกได้หลายประเภทตามขอบเขต   หน้าที่และวัตถุประสงค์  ได้แก่
           1. ห้องสมุดหรือหอสมุด  (library)
ห้องสมุดเป็นแหล่งสะสมทรัพยากรสารสนเทศทั้งที่เป็นวัสดุตีสิ่งพิมพ์และวัสดุไม่ตีพิมพ์   มีบริการครอบคลุมหลายด้าน  แต่ส่วนใหญ่เน้นบริการด้านการอ่าน  บริการยืม – คืน  และบริการช่วยการค้นคว้า      ห้องสมุดจำแนกตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายในการจัดตั้ง แบ่งได้เป็น  5  ประเภทได้แก่
1.1
 ห้องสมุดโรงเรียน (school library)  จัดตั้งขึ้นในโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา  เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการ  อำนวยความสะดวกด้านการศึกษาค้นคว้าของนักเรียน   และจัดบริการสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการสอนของครูอาจารย์  ห้องสมุดโรงเรียนบางแห่งได้รับการจัดให้เป็นศูนย์สื่อการศึกษานอกเหนือจากการบริการด้านสื่อสิ่งพิมพ์
1.2
 ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา (academic library)   เน้นการให้บริการสารสนเทศครอบคลุมทุกสาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันต้นสังกัดเปิดทำการสอน   เพื่อสนับสนุนการศึกษาค้นคว้าวิจัยของนักศึกษาและอาจารย์   ในปัจจุบันห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาใช้ชื่อเรียกต่างกันไปเช่น    สำนักหอสมุด   สำนักบรรณสาร   สำนักวิทยบริการ   ศูนย์บรรณสาร  และศูนย์สื่อการศึกษา  เป็นต้น
1.3
 ห้องสมุดเฉพาะ (special library)  เน้นให้บริการสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสถาบันต้นสังกัด   มักสังกัดอยู่กับสมาคม  หน่วยงานทางวิชาการ หรือสถาบันทางวิชาการเฉพาะด้าน  เช่น  ห้องสมุดธนาคาร   ห้องสมุดคณะแพทยศาสตร์  ห้องสมุดสมาคมวิชาชีพ เป็นต้น 
1.4
 ห้องสมุดประชาชน (public library)    เป็นห้องสมุดที่รัฐให้การสนับสนุน  จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งสารสนเทศของชุมชน  ให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปทุกระดับอายุและระดับการศึกษา  ทรัพยากรสารสนเทศและกิจกรรมที่จัดขึ้นมุ่งที่ประโยชน์ของประชาชน  ห้องสมุดประชาชนมีให้บริการทุกจังหวัดทั่วประเทศ
1.5
 หอสมุดแห่งชาติ (national library)  เป็นแหล่งเก็บรวบรวมและบำรุงรักษาทรัพยากรสารสนเทศของชาติ ทั้งที่เป็นหนังสือต้นฉบับตัวเขียน  เอกสารโบราณและจารึก  สื่อสิ่งพิมพ์  สื่อโสตทัศนวัสดุ  สื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตขึ้นในประเทศและต่างประเทศ   ให้บริการการอ่าน   ศึกษาค้นคว้าและวิจัยแก่ประชาชนเพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการศึกษาตามอัธยาศัย 
หอสมุดแห่งชาติทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานระบบสารนิเทศทางวิชาการแห่งชาติได้แก่
   ศูนย์ข้อมูลวารสารระหว่างชาติแห่งประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้    ศูนย์กำหนดเลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (International Standard Book Number – ISBN)  และเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (International Standard Serial Number – ISSN)   ศูนย์กำหนดรายละเอียดทางบรรณานุกรมของหนังสือที่จัดพิมพ์ในประเทศ    ศูนย์กลางแลกเปลี่ยนและยืมสิ่งพิมพ์ในระดับชาติและนานาชาติ    ศูนย์รวบรวมสิ่งพิมพ์ขององค์กรสหประชาชาติ    และจัดทำบรรณานุกรมแห่งชาติ    
หอสมุดแห่งชาติปัจจุบันตั้งอยู่ที่ท่าวาสุกรี
    ถนนสามเสน   เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร  สังกัดกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม   และมีสาขาให้บริการในต่างจังหวัด เช่น
ภาคกลาง ได้แก่
  หอสมุดแห่งชาติเขตลาดกระบัง เฉลิมพระเกียรติ  หอสมุดแห่งชาติอินทร์บุรี สิงห์บุรี   หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษกกาญจนบุรี  และหอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรีเฉลิมพระเกียรติ
ภาคเหนือ
  ได้แก่  หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษกเชียงใหม่   และหอสมุดแห่งชาติลำพูน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่
   หอสมุดแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ ร.9 นครราชสีมา   หอสมุดแห่งชาติประโคนชัย จ.บุรีรัมย์   และหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ภาคตะวันออก
   ได้แก่ หอสมุดแห่งชาติ ชลบุรี     และหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
ภาคใต้ ได้แก่
  หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช   หอสมุดแห่งชาติกาญจนาภิเษกสงขลา  หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถสงขลา   หอสมุดแห่งชาติวัดดอนรัก จ.สงขลา   หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถตรัง  และหอสมุดแห่งชาติวัดเจริญสมณกิจภูเก็ต
2. ศูนย์สารสนเทศหรือศูนย์เอกสาร  (information center or documentation center)
ศูนย์สารสนเทศหรือศูนย์เอกสารเป็นหน่วยงานให้บริการสารสนเทศเฉพาะด้าน
   แก่ผู้ใช้เฉพาะกลุ่มสาขาวิชาหรือสาขาวิชาชีพ  เช่น  นักวิทยาศาสตร์  นักวิจัย  มีลักษณะคล้ายห้องสมุดเฉพาะ     ให้ข้อมูลที่จัดทำขึ้นโดยศูนย์สารสนเทศหรือศูนย์เอกสารนั้น เช่น ข้อมูลสถิติ  ตัวเลข  รายงานการวิจัย  สาระสังเขปและดัชนี วารสารเฉพาะวิชา    ศูนย์นี้โดยทั่วไปมักแบ่งงานออกเป็น  3  ฝ่าย  ได้แก่  ฝ่ายห้องสมุด  ฝ่ายการเอกสาร  และฝ่ายพิมพ์
ตัวอย่างของศูนย์สารสนเทศหรือศูนย์เอกสารได้แก่
  ศูนย์บริการเอกสารการวิจัยแห่งประเทศไทย  (ศบอ.)    ศูนย์บริการสารสนเทศทางเทคโนโลยี (Technical Information Access Center : TIAC)  สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ศูนย์บริการเอกสารการวิจัยแห่งประเทศไทยให้บริการสารสนเทศแก่นักวิจัย
  ผลิตสื่อและเผยแพร่ผลงานวิจัยและเทคโนโลยีไทย ในรูปของสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์   ประสานงานและร่วมมือกับหอสมุด สถานศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ   และให้บริการค้นคว้าทำสำเนารายงาน FAO (Food and Agriculture Organization) ของ สหประชาชาติ ที่ ศบอ.เป็นตัวแทนรับฝากในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2509
เอกสารการวิจัยของ ศบอ.
  เริ่มตีพิมพ์รายงานแต่ละโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ที่วิจัยโดยนักวิจัยของสถาบันฯเอง รวมถึงการวิจัยร่วมกับนักวิจัยต่างชาติจากหลาย ๆ ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมัน สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) เป็นต้น มีผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมกว่า 2,000  ฉบับ ในหลากหลายกลุ่มสาขา เช่น  การถ่ายทอดเทคโนโลยี  การบรรจุหีบห่อ  การบริหารและการจัดการ   การพัฒนาบุคลากรและชุมชน  การวิจัยตลาดและธุรกิจ   เทคโนโลยีการก่อสร้าง   เทคโนโลยีการเกษตร  เทคโนโลยีชีวภาพ  เทคโนโลยีพลังงาน เทคโนโลยีวัสดุ  เทคโนโลยีวิศวกรรม  เทคโนโลยีอาหาร  นิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม  เภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเยาวชน  
และอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น
3. ศูนย์ข้อมูล  (data center)
ศูนย์ข้อมูลทำหน้าที่รับผิดชอบการผลิตหรือรวบรวมข้อมูล ตัวเลข
  จัดระบบและเผยแพร่สู่ผู้ใช้ที่อยู่ในเป้าหมาย  มักเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน  เช่น  ศูนย์ข้อมูลธนาคารกรุงเทพ     ศูนย์ข้อมูลธุรกิจหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย   ศูนย์ข้อมูลพลังงานแห่งประเทศไทย  สังกัดสำนักงานพลังงานแห่งชาติ  เป็นต้น


4. หน่วยงานทะเบียนสถิติ  (statistical office)
หน่วยทะเบียนสถิติเป็นศูนย์กลางรวบรวมหลักฐานการจดทะเบียนหรือ
         ลงทะเบียน  และรวบรวมสถิติที่เกี่ยวข้อง    อาจเป็นหน่วยงานที่สังกัดอยู่ในกระทรวง ทบวง กรม เพื่อรวบรวมสถิติเฉพาะภายในหน่วยงาน เช่น หน่วยเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่าง ๆ    กองการทะเบียนของกรมการปกครอง    ศูนย์สถิติการพาณิชย์ของ กระทรวงพาณิชย์    และสำนักงานสถิติแห่งชาติ  เป็นต้น

5.
 ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ  (information analysis center)
ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศให้บริการสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชา  โดยนำมาคัดเลือก   วิเคราะห์    สรุปย่อและจัดเก็บในลักษณะของแฟ้มข้อมูล  ใบข้อมูล  (sheet)  และปริทัศน์ (review)  เพื่อใช้ในการตอบคำถามและจัดส่งให้กับผู้ที่สนใจในรูปของบริการข่าวสารทันสมัย      เนื่องจากกระบวนการทำงานของศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ  ต้องมีการวิเคราะห์และประเมินสารสนเทศ  ผู้ปฏิบัติงานนี้จึงต้องมีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ส่วนใหญ่จึงมักประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์  และนักวิชาการ  ตัวอย่างของ ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ  เช่น สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย เปต้น


6. ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศ (information clearing house)
ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ  แนะนำแหล่งสารสนเทศ (referral service)  ที่เหมาะสม  หรือทำหน้าที่เป็นหน่วยงานรวบรวมทรัพยากรสารสนเทศแล้วแจกจ่ายไปยังผู้ที่ต้องการ   โดยการจัดทำสหบัตรรายการค้น บรรณานุกรม  ดัชนีและสาระสังเขป   และรายชื่อเอกสารที่ศูนย์ทำหน้าที่ประสานการแจกจ่าย  ได้แก่  ห้องสมุดยูเนสโก   หอสมุดแห่งชาติประเทศอังกฤษ  (British Library)  หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน (Library of Congress)   และหอสมุดแห่งชาติของไทย  เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยมีศูนย์ประสานงานเครือข่ายระบบสารนิเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสังคมศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค
  มีสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นหน่วยประสานงาน     โดยยูเนสโก (UNESCO) เป็นผู้จัดตั้งข่ายงานทั้งสองในระดับภูมิภาคเรียกว่า ASTINFO  และ APINESS
“ASTINFO” ย่อมาจาก Regional Network for the Exchange of Information and Experiences in  Science and Technology in Asia and Pacific มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ข่ายงานภูมิภาคเพื่อการแลกเปลี่ยนสารนิเทศและประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาคพื้นเอเซียและแปซิฟิค”  ประกอบด้วยสมาชิก 12 ประเทศ คือ ศรีลังกา อินเดีย ฟิลิปปินส์ อิหร่าน จีน เกาหลี เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์  เนปาล และประเทศไทย จัดตั้งเครือข่ายงานขึ้นเมื่อปี 2527 โดยมีสถาบันที่เข้าร่วมโครงการ  6 ศูนย์ คือ สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักหอสมุดเกษตรศาสตร์   สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยมหิดล   กองหอสมุดแห่งชาติ ศูนย์บริการเอกสารการวิจัย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
“APINESS” ย่อมาจาก Asia-Pacific Information Network in Social Sciences มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า  ข่ายงานสารนิเทศด้านสังคมศาสตร์ระดับภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิค มีสมาชิก 17 ประเทศ โดย 12 ประเทศจาก   ASTINFO จัดตั้งข่ายงานขึ้นเมื่อปี 2531 โดย ประกอบด้วยศูนย์สมทบทั้ง 6 ของ ASTINFO และหน่วยงานอื่นอีก 4 แห่ง คือ ห้องสมุดและศูนย์สารนิเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย,สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และหอสมุดจอห์น เอฟ เคเนดี้   มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ทั้งสองข่ายงานข้างต้น
  มีภารกิจในการให้บริการข้อสนเทศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสังคมศาสตร์ในข่ายงานฯ  พิจารณาขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพื่อปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรในข่ายงานฯ จัดดำเนินการฝึกอบรมและสัมมนาระบบสารนิเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสังคมศาสตร์   จัดดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย   เช่นจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)   องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูเนสโก ที่เกี่ยวกับ ASTINFO และ APINESS


7. ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ  (referral centers)  
ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ
  ทำหน้าที่รวบรวมแหล่งข้อมูลและแหล่งสารสนเทศ  โดยจัดทำเป็นคู่มือ   หรือรายการบรรณานุกรมและดัชนี  เพื่อให้คำแนะนำแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่เหมาะสมตามที่ผู้ใช้ต้องการ  ส่วนใหญ่จะแนะแหล่งสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชา  เช่น ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน    ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศสิ่งแวดล้อมนานาชาติ  เป็นต้น  (ศรีสุภา  นาคธน2548)


8. หน่วยงานจดหมายเหตุ  (archive)
หน่วยงานจดหมายเหตุ
  ทำหน้าที่รวบรวมและอนุรักษ์เอกสารราชการ  และเอกสารทางประวัติศาสตร์ ได้แก่  คำสั่ง ระเบียบ  ข้อบังคับ  บันทึก  หนังสือโต้ตอบ  รายงาน  แผนที่  ภาพถ่าย  แบบแปลน  เพื่อเป็นหลักฐานการดำเนินงานของรัฐและหน่วยงานเอกชน    ใช้เป็นแหล่งค้นคว้าอ้างอิงทั้งเพื่อการปฏิบัติงานและค้นคว้าทางวิชาการ  ตัวอย่างเช่นหอจดหมายเหตุแห่งชาติ   หอจดหมายเหตุส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น  หอจดหมายเหตุของสถาบันทางศาสนา  หอจดหมายเหตุของมหาวิทยาลัย  และหอจดหมายเหตุของสถาบันธุรกิจและอุตสาหกรรม  เป็นต้น
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
   มีฐานะเป็นสำนักหนึ่งในกรมศิลปากรกระทรวงวัฒนธรรม     จัดตั้งเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2495   มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดเก็บและบำรุงรักษาเอกสารทางราชการที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ที่มีอายุเกิน 25 ปี และรูปถ่ายไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า     ให้บริการค้นคว้าเอกสารจดหมายเหตุประเภทต่าง ๆ เช่น เอกสารโต้ตอบของส่วนราชการ   เอกสารส่วนบุคคล   เอกสารประวัติศาสตร์ร่วมสมัยทั้งที่เป็นเอกสารประเภทลายลักษณ์และประเภทไมโครฟิล์มรวม    ทั้งบริการเอกสารประเภทโสตทัศนจดหมายเหตุ เช่น   ภาพถ่าย   แผนที่   แผนผัง   แบบแปลน    สไลด์   ซีดี   แถบบันทึกเสียง เป็นต้น
ปัจจุบันหอจดหมายเหตุแห่งชาติตั้งอยู่ด้านหลังอาคารหอสมุดแห่งชาติ
  ที่ท่าวาสุกรี    ถนนสามเสน   เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร    และมีหอจดหมายเหตุแห่งชาติสาขาในต่างจังหวัด  ได้แก่ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่จังหวัดเชียงใหม่  ตรัง  ยะลา  และสงขลา    หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พะเยา และอุบลราชธานี    หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี   หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จังหวัดจันทบุรี    หอจดหมายเหตุนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ จังหวัดนครศรีธรรมราช   หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี    หอเกียรติยศ ฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๑ จังหวัดสุพรรณบุรี


9. สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์  (commercial information service center)
สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ให้บริการสารสนเทศโดยคิดค่าบริการ สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์มีหลายรูปแบบได้แก่
 ศูนย์บริการสารสนเทศทันสมัย (current awareness services)      ให้บริการเลือกสรรสารสนเทศเฉพาะบุคคล  (selective dissemination of information service : SDI)       โดยจัดส่งรายการทางบรรณานุกรม   ดรรชนีและสาระสังเขปให้สมาชิกหรือผู้ใช้บริการได้ตรวจสอบ    ส่วนการเข้าถึงตัวเอกสาร    จำเป็นต้องพึ่งพาห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศ   ความสำเร็จของศูนย์บริการสารสนเทศทันสมัยจึงอยู่ที่การมีห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศที่ดีสนับสนุนอยู่เบื้องหลังด้วย
สำนักงานติดต่อและให้คำปรึกษาทางสารสนเทศ
  (extension services–liason and advisory)  ให้คำปรึกษาด้านการใช้สารสนเทศในสาขาเกษตร   อุตสาหกรรมและกิจการบริการสาธารณะอื่น ๆ   หรือแนะนำแหล่งที่จะให้ความช่วยเหลือในการดำเนินกิจการ   บริการนี้จึงมักเชื่อมโยงกับทางอุตสาหกรรมเป็นหลัก 
ศูนย์บริการสาระสังเขปและดรรชนี (
abstract and index services)  ให้บริการฐานข้อมูลสาระสังเขปและดรรชนีวารสารทางวิชาการและสิ่งพิมพ์อื่น ๆ  ส่วนใหญ่ห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศบอกรับเป็นสมาชิก  สามารถสืบค้นในระบบออฟไลน์ (offline system) ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ประเภทวัสดุย่อส่วน ซีดีรอม และระบบออนไลน์ (online system) ผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น  สาระสังเขปวิทยานิพนธ์  (Dissertation Abstracts International) ของบริษัท  University Microfilm     สาระสังเขปและดรรชนี  Biological Abstracts  และ  Bioresearch Index  จัดทำโดย  บริษัทไบโอสิส  (BIOSIS)  เป็นต้น


10.   เครือข่ายบริการสารสนเทศ (information services network)  
เครือข่ายบริการสารสนเทศเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของกลุ่มสถาบันบริการสารสนเทศ
  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านการบริการทางบรรณานุกรม  ได้แก่  การทำบัตรรายการ  การพัฒนาทรัพยากร  การยืมระหว่างห้องสมุด  และการบริการฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์  เช่น เครือข่ายยูนิเน็ต (UniNet)
เครือข่ายยูนิเน็ตจัดดำเนินการโดยสำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา
  ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา  มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกัน  ได้ดำเนินโครงการพัฒนาเครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ที่มีชื่อย่อว่า “ThaiLIS” (Thai Library Integrated System)   โดยเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างห้องสมุดมหาวิทยาลัยและสถาบันจำนวน 24 แห่ง   ให้สามารถใช้งานผ่านเครือข่ายยูนิเน็ต    มีสารสนเทศที่ให้บริการในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้
ฐานข้อมูลสหบรรณานุกรม
  (union catalog)  เป็นฐานข้อมูลที่รวบรวมรายการบรรณานุกรมทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดมหาวิทยาลัยและสถาบัน 24 แห่ง   ปัจจุบันมีข้อมูลบรรณานุกรมจำนวนกว่า 2 ล้านระเบียน  เข้าใช้บริการได้ที่เว็บไซต์ http://uc.thailis.or.th   
ฐานข้อมูลจัดเก็บเอกสารฉบับเต็ม
  (digital collection)  เป็นฐานข้อมูลที่จัดเก็บและแสดงเอกสารฉบับเต็ม (full text)  พร้อมภาพ  ให้บริการข้อมูลวิทยานิพนธ์  งานวิจัยของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย  และเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างห้องสมุดมหาวิทยาลัยกว่า 70 แห่ง  ปัจจุบันมีเอกสารอิเล็กทรอนิกส์  จำนวนกว่า  50,000 รายการ  เข้าใช้บริการได้ที่เว็บไซต์   http://dcms.thailis.or.th/index.php   
ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสืบค้น (
reference database)  เป็นบริการสืบค้นข้อมูลออนไลน์ต่างประเทศ จำนวน 7 ฐานได้แก่     Science Direct,  IEEE/IEE Electronic Library (IEL),  ProQuest Dissertations,  ACM Digital Library,  Lixis.com and Nexis.com,  H.W.Wilson,  ISI Web of Science 
ฐานข้อมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (
e-Book) ให้บริการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ลิขสิทธิ์ของ  SpringerLink จำนวน  1,528  รายการ  เข้าใช้บริการได้ที่ 
URL : http://ebook.SpringerLink.com
ฐานข้อมูลหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (
e-Book) ลิขสิทธิ์ของ NetLibrary จำนวน 5,962 รายการ และหนังสือ Publicly accessible eBooks จำนวน 3,400 รายการ   เข้าใช้บริการได้ที่  URL: http://www.netlibrary.com
ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม (
dissertation fulltext)  ให้บริการวิทยานิพนธ์ฉบับเต็มของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในประเทศไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่าย จำนวน 3,850 รายการ   เข้าใช้บริการได้ที่ URL: http://ebook.thailis.or.th
งานบริการสารสนเทศ
สถาบันสารสนเทศเน้นให้บริการสารสนเทศแตกต่างกันไปตามหน้าที่และวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง    ซึ่งพอจะสรุปบริการที่จัดให้โดยทั่วไปได้ดังนี้
1. บริการการอ่าน    เป็นบริการที่สถาบันบริการสารสนเทศจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศในระบบชั้นเปิดและจัดที่นั่งสำหรับอ่านค้นคว้าได้โดยอิสระตามความสนใจของแต่ละบุคคล   พร้อมทั้งจัดทำเครื่องมือช่วยค้นซึ่งอาจจะเป็นบัตรรายการหรือรายการในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศได้โดยสะดวก 


2. บริการบรรณานุกรมและสาระสังเขป  เป็นบริการรวบรวมรายการทรัพยากรสารสนเทศที่มีบริการอยู่ในสถาบัน  หรืออาจรวบรวมเฉพาะเรื่องที่มีผู้สนใจ  หรือรวบรวมตามระยะเวลาที่จัดหาทรัพยากรสารสนเทศใหม่ ๆ  เพื่ออำนวยความสะดวกในการศึกษาค้นคว้า  เช่น  การทำบัตรรายการ  การทำดัชนีวารสาร  บริการโอแพค (OPAC) ของห้องสมุด  และ การจัดทำบรรณานุกรมแห่งชาติประจำปี ของหอสมุดแห่งชาติ  เป็นต้น


3. บริการให้ยืมทรัพยากรสารสนเทศ  เป็นบริการให้ยืมทรัพยากรสารสนเทศออกไปใช้ภายนอกสถาบัน  โดยผู้ใช้บริการจะต้องสมัครเป็นสมาชิกและปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของสถาบันบริการสารสนเทศ


4. บริการยืมระหว่างห้องสมุดหรือสถาบัน  เป็นบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกที่ต้องการยืมทรัพยากรสารสนเทศจากสถาบันอื่น โดยสถาบันต้นสังกัดของสมาชิกช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสาน  ซึ่งผู้ใช้บริการต้องเสียค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น ค่าถ่ายเอกสาร  ค่าขนส่ง เป็นต้น


5. บริการจองหนังสือหรือบริการหนังสือสำรอง  เป็นบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ทรัพยากรสารสนเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด  แต่มีผู้สนใจต้องการใช้จำนวนมาก  สถาบันบริการสารสนเทศอาจให้บริการจองหนังสือล่วงหน้า  หรืออาจจัดบริการหนังสือสำรองไว้ในสถาบันโดยไม่ให้ยืมออกนอกสถาบันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  เพื่อให้ได้ใช้บริการอย่างทั่วถึงทุกคน


6. บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า   เป็นบริการให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ใช้บริการในการค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ ที่มีในสถาบัน และแหล่งสารสนเทศอื่น ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผู้ใช้ต้องการ   


7. บริการแนะนำแหล่งสารสนเทศ  เป็นบริการแนะนำแหล่งหรือสถาบันบริการสารสนเทศ  วิธีการใช้  วิธีการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศ  เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้เข้าถึงแหล่งจัดเก็บไว้  ได้อย่างรวดเร็ว  และใช้ประโยชน์ในแหล่งสารสนเทศนั้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 


8. บริการเผยแพร่สารสนเทศและนิทรรศการ  เป็นบริการเผยแพร่สารสนเทศในโอกาสพิเศษต่าง ๆ   เพื่อชักชวนให้เกิดความสนใจการอ่าน และการศึกษาค้นคว้าต่อเนื่อง เช่น การจัดนิทรรศการ  การจัดประชุมอภิปรายทางวิชาการ  การจัดทำจุลสาร วารสารวิชาการ เป็นต้น


9. บริการข่าวสารทันสมัย  เป็นบริการรวบรวม  คัดเลือกและเผยแพร่สารสนเทศใหม่ ๆ แก่สมาชิกหรือผู้ใช้บริการ  เช่น การทำสำเนาบทความจากวารสาร  การทำบรรณานุกรมและสาระสังเขปแล้วส่งให้ผู้ใช้บริการ เป็นต้น


10. บริการถ่ายสำเนาและพิมพ์ผลการค้นข้อมูล  เป็นบริการถ่ายสำเนาเอกสารไปใช้ประโยชน์  เช่น   บริการถ่ายเอกสาร    บริการพิมพ์ผลการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์  อินเทอร์เน็ต  หรือแฟ้มข้อมูล


11. บริการอินเทอร์เน็ต เป็นการให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต  เพื่อให้ผู้ค้นคว้าได้ใช้บริการต่าง ๆ เช่น  การสืบค้นฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์  การสืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์  และการใช้บริการจดหมายอีเล็กทรอนิกส์ (e –mail)   เป็นต้น
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
     มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา  จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งสนับสนุนการศึกษาค้นคว้าของนักศึกษา อาจารย์และบุคลากรในมหาวิทยาลัย  รวมทั้งให้บริการสนับสนุนภารกิจของมหาวิทยาลัยในการให้การศึกษาแก่ชุมชนท้องถิ่น มีประวัติความเป็นมา และให้บริการสารสนเทศ ดัง